Amour [2012]


Amour [2012]
(บรรยายอังกฤษ)


Director: Michael Haneke
Writer: Michael Haneke (screenplay)
Stars: Jean-Louis Trintignant, Emmanuelle Riva, Isabelle Huppert
Runtime: 127 min.
Language: French , English
Country: France , Germany , Austria



คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราได้ชมผลงานของไมเคิล ฮาเนเก้ในโรงภาพยนตร์ทั่วไป เพราะถึงแม้ว่าผลงานที่ผ่านมาของฮาเนเก้จะมีชื่อเสียงและเป็นที่พูดถึง แต่มันก็มักจะมีอะไรบางอย่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเงียบที่เย็นชาและหลายครั้งมันคือความเลือดเย็น แม้ว่า Amour จะไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นเพราะด้วยการที่มันวางตัวเป็นหนังรัก แต่เมื่อเราได้สัมผัสมันก็พบว่าแท้จริงแล้วมันแค่ลดทอนดีกรีลงไปเพียงเท่านั้น และความเยือกเย็นของมันนั่นเองที่ให้ผู้ชมรู้สึกปวดร้าวและโศกเศร้าไปกับเรื่องราวได้อย่างรุนแรง

Amour เล่าเรื่องของสองตายายคู่หนึ่งในวัยแปดสิบ พวกเขาเป็นครูสอนดนตรีที่เกษียณแล้ว พวกเขามีลูกสาวของเขาแต่เธอก็ต้องเดินทางข้ามประเทศตลอดเวลา ชีวิตบั้นปลายทั้งคู่ก็ดูมีความสุขหากไม่ใช่ว่าคุณยายเกิดอาการสโตรกขึ้นมาจนทำให้เกิดเป็นอมพาตและอาการก็เริ่มลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ

เรื่องราวดำเนินต่อไปอย่างนิ่งเงียบ แม้ว่าเราอาจจะมองว่า Armour เองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่เป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้เราสั่นสะท้านอย่างแท้จริงก็คือวิธีการเล่าเรื่อง และองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างเช่นการแสดง และความนิ่งเงียบของมันก็กระตุ้นสมาธิของเราไม่ให้พลาดสิ่งอื่นสิ่งใดไป แม้จะไม่มีปริศนาใดให้ปะติดปะต่อ แต่อารมณ์ของผู้ชมเองก็ไหลเรียงไปกับหนังได้อย่างงดงาม ความเงียบของหนังทำให้เราสัมผัสหนังได้ชัดขึ้นซึ่งเดิมทีหนังส่วนใหญ่ของฮาเนเก้เองก็ไม่มีเพลงประกอบอยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้เมื่อเสียงดนตรีปรากฏขึ้นในเรื่องเมื่อใด มันจึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่เพลงประกอบหนัง แต่มันเปรียบได้กับตัวละครตัวหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวในเรื่องได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่น่าสนใจใน Amour ก็คือมันเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของผู้มีอายุสองคนโดยไม่มีฉากย้อนอดีตใด ๆ ให้เราเห็นเลย การพูดถึงมันก็มีน้อยมาก มันไม่พยายามที่จะสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ชมโดยการย้อนภาพเปรียบเทียบระหว่างปัจจุปันกับภาพครั้งอดีตที่ตายายให้เราได้เห็น ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพร่งพรายของความทรงจำ หลักฐานแห่งอดีตปรากฏให้เราได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ครั้งหนึ่งคือตอนที่ยายยังขยับตัวได้ เธอเรียกร้องขอดูอัลบั้มรูปเก่า มันเป็นรูปในอดีตที่ไกลแสนไกลเหมือนย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น พร้อมเอ่ยคำชมไม่กี่คำกับชีวิตที่ผ่านมา อีกครั้งที่ชัดเจนคือฉากที่ตาคุยกับยายเป็นครั้งสุดท้าย เขาพูดถึงเรื่องเข้าค่ายสมัยเขายังเด็กที่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน

ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือถึงจะไม่มีการย้อนความอย่างเด่นชัด แต่เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรักความสัมพันธ์ของทั้งสอง การที่เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวความรักของตนเองเลย (แต่คนรอบกายนั้นกลับพูดอยู่เสมอ) ไม่ใช่เพราะว่าความรู้สึกนั้นมันหมดลงแล้วหรือว่าแท้จริงพวกเขาไร้อดีตที่แสนหวานแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะว่าหากไม่ใช่เพราะว่าทั้งสองรู้ดีว่าสิ่งเหล่านั้นผ่านมาจนเกินที่จะย้อนกลับไปล่ะก็ มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาที่ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหรือแสดงออกให้เป็นพิเศษอีก

และไม่จำเป็นต้องมีการอธิบายหรือการฟูมฟายใด ๆ เราก็สามารถสัมผัสเรื่องราวหรือเหตุผลของตัวละครได้ แม้จะเกิดเรื่องราวอันโหดร้่ายกต่เราก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้เกิดมาจากความเคียดแค้นหรือชิงชัง กลับกันมันอาจจะเป็นการย้อนถามเกี่ยวกับความหมายของคำว่ารักก็เป็นได้ มันเป็นคำถามเดิม ๆ ที่เราถามกันซ้ำ ๆ ว่าเราควรจะรั้งมันไว้หรือปล่อยไป สิ่งใดเป็นการแสดงถึงความรักกันแน่ ระหว่างการพยายามทำตามคำสัญญาที่เหนี่ยวรั้งทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว หรือคือการปล่อยมันไป ซึ่งในจุดนี้การที่หนังได้เว้นช่องว่างไว้ให้ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะนอกจากมันจะแสดงให้เห็นว่าเรื่องบางเรื่องมีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่รู้ ผู้ชมก็สามารถแทนที่ช่องว่างเหล่านั้นด้วยความรู้สึกของตนเองได้ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นฉากภาพศิลปะที่ไล่ฉายพร้อมเพลงบรรเลงหรือฉากนกพิราบที่บินเข้ามาในบ้าน จุดประสงค์ของอย่างแรกที่ใส่เข้ามาอาจจะคิดไม่ยากว่าเป็นการแทรกเข้ามาเพื่อย่นระยะเวลาที่ผ่านไปอย่างเนิ่นนานในหนัง ส่วนอย่างที่สองการตีความก็มีมากมายหลากหลาย ผู้ชมสามารถตีความไปต่าง ๆ นานา ไม่มีถูกผิด ฮาเนเก้เองก็กล่าวไว้เช่นนั้น และความหมายอย่างหนึ่งที่คนมักจะกล่าวถึงก็คือ อิสรภาพ ว่าแต่มันเป็นอิสรภาพของใครกันเล่า เป็นของจอร์จหรืออันนา ในครั้งแรกจอร์จได้ไล่นกออกจากบ้านไป ส่วนครั้งที่สองเขาได้จับพยายามจับมัน เขาจับมันได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ปล่อยมันไปอยู่ดี ใช่ ถึงเขาจะสามารถจับมันได้ สามารถคว้าอิสรภาพ จิตวิญญาน หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยมันไป สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยให้เจ้านกพิราบโบยบินออกไป ใครกันเล่าที่จะสามารถกักขังมันเอาไว้ได้ในกรงตลอดไป

เช่นเดียวกับจอร์จ ผู้กักขังตัวเขาและอันนาให้อยู่ในบ้านตามคำสัญญา สังเกตุได้ว่านับตั้งแต่ฉากแรกที่ทั้งคู่ไปดูคอนเสิร์ตแล้วก็กลับมาที่บ้าน ก็ไม่มีภาพของฉากภายนอกให้เราได้เห็นอีกเลย ครั้งเดียวที่เขาย่างเท้าออกไปนอกบ้านมันคือในความฝัน เขาก้าวย่างเดินในอพาร์ทเมนท์จนไปพบกับน้ำที่เจิ่งนองแล้วถูกทำร้าย สะท้อนให้เห็นถึงว่าจิตใจของจอร์จนั้นก็มีความหวาดหวั่นต่อภายนอกเช่นกัน ความกังวลของทั้งคู่ที่กลัวคนภายนอกบุกรุกเข้ามาปรากฏให้เราเห็นตั้งแต่ที่พวกเขาคุยกันเรื่องโจรงัดแงะบ้าน ในที่ที่ของพวกเขาคือที่ที่ปลอดภัยของทั้งสองคน และสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่ายากที่จะมีคนอื่นเข้ามาย่างกราย คนแล้วคนเล่าไม่ถูกเชิญออกก็โดนผลักไส แม้กระทั่งลูกสาวของเขา หรือความพยายามที่ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยวจนกระทั่งการปิดผนึกห้อง เราไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาสัญญาอะไรกันอย่างอื่นอีกหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าตอนพวกเขาแต่งงานเขาจะสัญญาว่าจะรักและดูแลกันตลอดไปไหม เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดคำสัญญาที่ดันทุรังหรือเปล่า เรารู้เพียงแค่ว่ามันสร้างความปวดร้าวที่เกินบรรยาย แต่ในขณะเดียวกันจิตใจของผู้ชมก็ได้รับการห่อล้อมไว้ด้วยความรักเช่นเดียวกัน

ฮาเนเก้หลอกให้คนดูเชื่อว่าฉากหมอนเป็นฉากที่รุนแรงที่สุด ก่อนที่ผู้ชมจะพบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ในขณะที่จอร์จทิ้งตัวนอนบนเตียงเขาก็ได้พบกับอันนาอีกครั้ง เธอพูดคุยกับเขาตามปกติ และดำเนินชีวิตของพวกเขาต่อไป มันเป็นฉากที่บรรยายความรู้สึกออกมาไมาได้ง่าย ๆ นอกจากความตีบตันที่อยู่ในอก และในที่สุดทั้งสองก็ก้าวเท้าออกไปข้างนอกด้วยกันอีกครั้ง ถึงเวลาเดินทางแล้ว ไม่จำเป็นต้องขังตนเองไว้ที่นี่ต่อไปแล้ว

ฉากสุดท้ายของเรื่องคือฉากที่ลูกสาวของพวกเขาเดินเข้ามาในบ้าน ไม่พบใครอื่นอยู่นอกจากห้องที่ว่างเปล่า ประตูทุกบานเปิดทิ้งเอาไว้มีเพียงห้อง ๆ หนึ่งที่เราเห็นประตูที่ปิดเอาไว้

เหมือนต้องการที่จะเก็บความทรงจำนั้นไว้ตลอดไป

(บทความนี้ตัดมาจาก http://www.filmzick.com/blogs/reviews/review-amour/ ขอบคุณผู้เขียนมา ณ ที่นี้)


ตัวอย่างหนัง :



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Nyob Zoo-น๊อ โยง-สวัสดี